บทที่ 14
บทที่ 14
ในที่สุดก็เป็นปีสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัย ผมได้ไปฝึกสอนที่โรงเรียนวิมุตตยาราม พร้อมกับนีและปลั๊ก เมื่อได้ฝึกสอนทำให้ผมได้หล่อหลอมความเป็นครูมากขึ้น ถ้าถามว่าผมได้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ผมตอบได้เลยว่าไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ทุกอย่างต้องอาศัยเพื่อน เพื่อนยังต้องช่วยเรื่องการเรียน คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แค่พอทำได้ เอาตัวรอดไปวันๆ การเงินก็เหมือนเดิม แต่สามารถบริหารการใช้เงินได้มากขึ้น ทุกๆ เช้าผมต้องออกเดินทางไปฝึกสอนตั้งแต่เช้าตรู่... ชีวิตการฝึกสอนมีความสุขมากครับ ผมเป็นคนโชคดีที่ทำอะไรจะมีผู้ใหญ่คอยดูแลและช่วยเหลือมาตลอด จนในที่สุดสิ่งที่ผมฝัน ก็เป็นความจริงสมการรอคอย ผมเรียนจบแล้วครับ ผมตัดสินใจกลับบ้านโดยทันทีโดยไม่ลังเล พอกันทีกรุงเทพที่คิดว่าเป็นเมืองสวรรค์ ผมเก็บเสื้อผ้าทุกชิ้นด้วยความรีบเร่ง เหมือนจะหนีอะไรเถอะ ทิ้งหนังสือสมุดทุกเล่ม เดินทางกลับสู่ตราด
มีนาคม 2547 ผมกลับมาอยู่บ้านได้ 2 วัน ใจก็เริ่มวิตกอีกแล้วครับ ผมจะต้องไปคัดเลือกทหารในเดือนเมษายน ผมนอนนึกถึงภาพตอนที่ไปจับใบดำใบแดง จะต้องถอดเสื้อนั่งรอเหมือนนักโทษ ไม่ชอบเลย ทำไงดีหว่า อ้อรู้แล้ว เราก็บวชสิ จะได้ไม่ต้องถอดเสื้อ ผมรีบไปบอกแม่กับยายว่า "หนูจะบวช" ยาย "พึ่งกลับมาจะบวชเลยเหรอ ยังไม่ต้อง" ผม "ไม่เอา จะบวช ไม่รู้ล่ะ" ยาย "จะบวชเมื่อไร" ผม "เดือนนี้" ยายตกใจมาก เพราะมีเวลาแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น สุดท้ายผมก็ได้บวชครับ ในวันที่ 2 เมษายน 2547 สมใจนึกจริง ไอ้แฟงช่างเป็นคนวางแผนเก่งจริงๆ พอถึงวันคัดเลือกทหาร พระทศพล ตัญติวิริโย ได้เดินทางไปด้วยอาคมแก่กล้า มือใส่แขวนพระรอด เขาบอกว่าใส่แหวนจะรอดจากอะไรทุกอย่าง ทันทีที่ล้วงไหปาฎิหาริย์ก็เกิด มีกระดาษวิ่งมาหาที่มือ ผมพยายามที่จะไม่หยิบแต่ก็หาใบอื่นไม่ได้ จึงต้องหยิบมาให้ทหาร ปรากฎว่า ใบดำ ครับ แทบหัวใจจะวาย
ชีวิตการอยู่ในผ้าเหลืองมาร้อนรนจริง ๆ ผมอยากสึกแล้ว ก็คัดเลือกทหารเสร็จแล้วนิ ไม่เห็นต้องอยู่ต่อเลย เดินไปบอกยายว่าจะสึก เขาก็ไม่ให้ เจ้าอาวาสก็ไม่ให้ มันเบื่อแล้วนะครับ ตอนนั้นเริ่มประชดด้วยการไม่ท่องมนต์ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ผมอยากทำงานแล้ว ผมไม่อยากอยู่วัด ไปไหนก็ไม่ได้ ใครก็ได้ช่วยให้ผมสึกทีเถอะ วันๆก็เอาแต่เดินรอบวัดครับ เฮ้อทำไงดี.....