บทที่ 4
บทที่ 4
หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงหน้าแล้ง(ฤดูร้อน)ไปแล้ว สิ่งที่เราต้องเจอในเบื้องหน้าก็คือ ฤดูฝน ฤดูแห่งความหดหู่ของหัวใจ ใครไม่เคยก็ไม่รู้หรอกครับ ว่ามันเป็นเช่นไร ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำ ฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหว บ้างก็ยืนกอดกันด้วยความกลัว ทุกคนในบ้านยืนถือร่มอยู่ภายในห้องครัวที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน ที่บ้านหลังคามุงด้วยจากก็มีน้ำฝนรั่วลงมาไม่ขาดสาย แต่ที่ยืนอยู่บริเวณห้องครัว เพราะว่ากลัวต้นกระท้อนต้นมหึมาจะล้มทับ ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็เหมือนน้ำตาของคนในหมู่บ้าน เพราะทุกครัวเรือนจะกรีดยางไม่ได้ครับ เราแทบไม่มีเงินใช้กันเลยล่ะ เงินเก็บก็ไม่มี มีแต่จะเพิ่มหนี้ในการใช้จ่ายในครัวเรือน ได้แต่เก็บผักหาปูหาปลาประทังชีวิตกันไป ตอนนั้นผมเรียนอยู่โรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคม สิ่งที่มีปัญหาสำหรับเด็กนักเรียนในหมู่บ้านก็คือเสื้อผ้านักเรียนแห้งไม่ทัน ไม่มีเครื่องซักผ้าเหมือนในสมัยนี้ เราซักผ้ากันด้วยมือ เสื้อผ้าก็มีไม่กี่ชุดที่จำได้ผมมีแค่ 2 ชุด ต้องใส่ซ้ำโดยเฉพาะกางเกงที่แห้งไม่ทันจริงๆ เวลาเราซักผ้าต้องบิดน้ำออกสุดๆ เพราะกลัวแห้งไม่ทันแล้วสบัดอย่างสุดแรงเพื่อไม่ให้ผ้ายับมากเกินไป อยากจะบอกว่าผมไม่มีเตารีดครับ หลังจากที่เราตากผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ก่อกองไฟต่อ คงสงสัยสิครับว่าก่อไฟทำไม ก่อไฟเพื่อความร้อนของไฟจะทำให้ผ้าแห้งเร็วๆ แต่บางทีก็มีแต่ควันทำให้เสื้อผ้าของผมกับน้องเต็มไปด้วยกลิ่นของควันไฟ เหมือนใส่น้ำหอมกลิ่นควันไฟไปโรงเรียน ส่วนรองเท้าก็ต้องเอามาย่างกับเตาไฟ ต้องคอยพลิกไปมาเหมือนย่างปลาครับ ก็ต้องทำแบบนี้มาตลอดในช่วงของหน้าฝน นี่แหละครับชีวิตของเด็กชนบท อยากให้เด็กๆ ในยุคนี้ได้หยุดอ่านเรื่องราวสมัยก่อนว่าเส้นทางของผมและคนอื่นๆไม่ได้ราบเรียบเลย...ติดตามบทต่อไปครับ