 |
ผีอีจันทร์ (ผอ.สมนึก) |
 |
ผีอีจันทร์ (ผอ.สมนึก แพทย์พิทักษ์)
|
 |
"...ผีอีจันทร์..." ตำนานแห่งคลองตาหมอก ก่อนที่จะเล่าเรื่องนี้ข้าพเจ้าต้องขอขมาต่อดวงวิญญาณของหญิงสาวที่ชื่อ จันทร์และทายาทที่ยังมีชีวิตอยู่โดยเจตนาแล้วมิได้จะล่วงเกินหรือลบหลู่ใด ใดทั้งสิ้น เพียงแต่จะเล่าสู่และถ่ายทอดประสบการณ์ที่เหลือเชื่อให้ฟังกันเท่านั้น
"คลองตาหมอก"มีต้นกำเนิดจากสายน้ำเล็กๆบนเทือกเขาระกำ จ.ตราด ไหลลัดเลาะผ่านบ้านหนองโสนลงสู่หมู่บ้านบ้านปากคลองน้ำเชี่ยวและ อ่าวไทยด้านเกาะช้างตามลำดับ
บริเวณสองฝากฝั่งคลองจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ต่างๆและความ หลากหลายของสัตว์น้ำนานา ชนิด คลองตาหมอกจึงเปรียบเสมือนสายเลือดเส้นใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนในแถบนี้มาเป็นเวลาช้านาน
ห่างจากบ้านผมไม่มากนักจะมีสะพานไม้เล็กๆทอดข้ามลำคลองดังกล่าว มีราวไม้ไผ่กั้นเป็นราวกันตกอยู่สองด้าน เคียงคู่กับโกงกางต้นใหญ่ใบหนาที่แผ่ปกคลุมผืนน้ำ ทอดเงาทะมึนอยู่ริมฝั่งคลองด้านล่าง...สองฝั่งคลองจะอุดมไปด้วยต้นจากที่แผ่ใบคลุมสองฟากคลองจนหน้าทึบ...ยามเย็นใกล้แสงตะวันจะจากลา บรรยากาศแถบนี้ดูจะวังเวงและปล่าวเปลี่ยวเป็นอย่างยิ่ง
"อีจันทร์ถูกฆ่าตาย"
เสียงหนุ่มวัยกลางคนวิ่งพลางร้องพลางมายังบ้านผม ไม่นานนัก สะพานไม้เล็กๆแห่งนี้ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงเอะอะโวยวาย วิพากษ์ วิจารณ์ดังลั่นไปทั่ว เบื้องล่างบริเวณใต้สะพาน ตรงโค้นต้นโกงกางใหญ่ ร่างอันไร้วัญญาณของหญิงสาวชื่อจันทร์ลอยแน่นิ่งนอนหงายหน้า นัยตาเบิกโพรง เส้นผมพริ้วสยายไปกับผิวน้ำอยู่ไปมา ตรงกลางอกมีไม้แหลมแทงทะลุอกสาวน้อยอยู่ มันช่างเป็นภาพที่เอน็จอนาจ ขนพองสยองเกล้าคละเคล้ากับความน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด
เรื่องคดีฆาตกรรมอีจันทร์เงียบหายไปเหลือไว้แต่ความอาฆาต ผูกพยาบาท เคียดแค้นและอิทธิฤทธิ์ต่างๆที่ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างเข็ดขยาด ไม่มีใครกล้าเดินข้ามสะพานนั้นในเวลาใกล้ค่ำหรือกลางคืน
"สะพานอีจันทร์"
เสียงก๋งถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในค่ำคืนที่ฝนแรกเพิ่งหย่าเม็ดให้ผม ฟัง ขณะนั้นรู้เพียงแต่ว่าห้วงเวลาที่ก๋งเล่าเรื่องผีอีจันทร์ให้ฟังนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ด้วยความกลัวผมคว้าหมอนและผ้าห่มนอนคลุมโปงฟังก๋งเล่าจนหลับไปในที่สุด เช้านี้อากาศแจ่มใส....ความชื้นจากฝนแรกในค่ำคืนที่ผ่านมาทำให้ดูว่าเช้านี้ อากาศจะสดชื่นมากกว่าวันอื่นๆ กลิ่นช่อมะม่วงทักทายแสงแรกของอาทิตย์ยามเช้า พระสงฆ์สองรูปมารับบาตรที่หน้าบ้านเหมือนเช่นทุกวันเสียงพระให้พรดัง แว่วมา "....มารับพร...ไหว้พระเสียบ้าง..." ก๋งบอก...."...นอกจากพรรษบุรุษ เพื่อนฝูงและคนที่เรารู้จักที่ล่วงลับไปแล้ว ผีไม่มีญาติ เปรต อสูรกาย เจ้ากรรมนายเวร เราควรอุทิศส่วนกุศลให้เค้าบ้าง...."ก๋งย้ำ
ผมเดินตามย่ามาห่างๆ ในมือถือคัดเบ็ดพร้อมเหยื่อตั๊กแตนตัวเขื่องมาด้วย เดินข้ามสะพานไม้เล็กๆตรงไปยังร่มต้นโกงกางใหญ่ น้ำในคลองใส นิ่งสงบ คันเบ็ดถูกหย่อนลงน้ำ ย่านั่งกินหมากคำโตเหมือนเช่นเคย "...คอยซื้อปลาตรงนี้แหละ...เดี๋ยวคนขายก็หาบปลามา" ย่าบอก สายลมยามเช้าพัดใบโกงกางและใบจากแกว่งไกวไปมาแสงอาทิตย์เริ่มแรง กล้าขึ้น.....ไร้วี่แววของปลาน้อยใหญ่....กระเต็นน้อยจับจองหลักไม้ไผ่ริม คลองจ้องหาอาหารเช้าอย่างสงบนิ่ง..".เงียบ." ผมรำพึงในใจ
"ตูม...!!!!" ข้าพเจ้าตกใจสุดขีด...หันไปมองต้นเสียงที่มาจากกลางคลองใต้ต้นโกงกางที่นั่งอยู่ คลื่นลูกใหญ่แผ่กระจายเป็นวงกว้าง เบื้องใต้ผิวน้ำมีเงาดำทะมึนขนาดใหญดำผุดดำว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำ แต่น่าแปลกนกกะเต็นตัวน้อยยังคงเกาะนิ่งสงบอยู่ที่เดิม ย่าหันมามองอย่างตระหนกๆ "กลับบ้าน"..ย่าบอก
ย่ากับก๋งยืนคุยกันอย่างเคร่งเครียด..."มันยังอยู่อีกเรอะ..นี่ขนาดกลางวัน แสกๆนะ...."
ขันลงหินที่มีข้าวสารเต็มใบถูกค่อยๆบรรจงวางบนพานทองเหลือง ดอกไม้สามสีวางประกบกับสายสินธุ์ที่พันไว้รอบพระพุทธรูปปางสมาธิสมัย ทราวดีองค์ที่ก๋งบูชาอยู่ทุกวัน ก๋งนุ่งขาวห่มขาวนั่งพนมมืออยู่นาน "ถือขันข้าวสารเสกตามก๋งมา".......
หลายปีต่อมา....หลังจากไปยิงนกตกปลากับเพื่อนๆแล้ว ผมเดินลัดเลาะมาทางท้ายบ้าน นกอีหรอดสามตัวที่ผมพิชิตมาด้วหนังสติกก์คู่ใจถูกซ้อนไว้หลังยุ้งข้าว "มึงจะไปยิงมันทำไม" ก๋งมักบ่นผมเป็นประจำ
"กูยอมแล้วๆๆๆๆๆๆ"เสียงดังลั่นมาจากนอกชานบ้าน...หญิงสาวนางหนึ่ง กำลังดิ้นทุรนทุรายหลังจากน้ำมนต์ขันแรกถูกราดลงร่างพร้อมทั้งหวาย อาคมในมือก๋งที่ทำท่าเงื้อง่างอยู่ไปมา "ออกไปเดี๋ยวนี้..?..?....ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดซักที.." ดวงตาที่แข็งกร้าวค่อยๆหันและชำเลืองมาที่ก๋งอย่างช้าๆ..และ.....ค่อยมีอัปกิริยา อ่อนโยนขึ้น เสียงร้องให้พร่ำพรรณาดังแว่วๆมาว่า
"....อยู่ที่สะพานไม่เคยมีใครทำบุญทำทานให้เลย...หิวแสนหิว...มีแต่หมอ ก่วย นี่แหละที่ตอนเช้าๆแบ่งให้กินบ้าง....แต่ก็ยังเอาข้าวสารเสกไปไล่อีก... ต้องอาศัยร่มไม้ชายคลองเป็นที่อาศัย....ขึ้นบ้านคนอื่นผีเรือนก็ไม่ยอมให้ขึ้น.....ช่วยฉันทีเถิด.......ฮือ..ๆ....ๆ..."เสียงพร่ำพรรณาปนเสียงร่ำให้ของผีอีจันทร์ที่มาสิงสู่ร่างหญิงวัยกลางคนค่อยๆจางหายไป
หลังจากทำบุญใหญ่ที่สะพานดังกล่าวแล้ว..นี่ก็ล่วงเลยมากว่าหกสิบปี. ไม่มีใครเคยพบเห็นหรือเจอกับอิทธิฤทธ์ของดวงวิญญาณหญิงที่ชื่อจันทร์ อีกเลย..... |
|