ความผูกพัน (ผอ.สมนึก)
ความผูกพัน (ผอ.สมนึก แพทย์พิทักษ์)
"ความผูกพัน"  (บทความจาก ผอ.สมนึก แพทย์พิทักษ์)

การปลูกบ้านเรือนในสมัยก่อนนิยมปลูกเชื่อมต่อกันหลายๆหลัง ตัวเรือนใหญ่จะมีประตูตรงกลางเพียงประตูเดียวมักแกะสลักด้วยไม้เนื้อแข็ง ด้วยสุดยอดฝีมือและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างงดงาม ฝาบ้านด้านหน้ามักนิยมทำเป็นไม้เข้ารางลิ้น ด้านบนและด้านล่างประกบกัน เป็นลูกฟัก เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปยังห้องกลาง จะมีห้องแยกไปทางซ้ายและขวาอีกข้างละห้องสำหรับใช้เป็นห้องนอน ส่วนห้องกลางที่กล่าวมาแล้วนั้นมักนิยมใช้เก็บกระถางธูปและรูปถ่ายของ บรรพบุรุษที่ล่างลับไปแล้วและยังใช้เป็นสถานที่เซ่นไหว้เนื่องในเทศกาล สาร์ทไทย ตรุษจีนหรืออื่นๆตามความเหมาะสม

ต่อจากเรือนใหญ่ด้านหลังบ้านมักนิยมต่อหลังคายื่นออกมาอีกเรียกว่า "พไลหลัง"มีไว้สำหรับสร้าง ยุ้งฉางและเป็นที่เก็บเกวียนซึ่งเป็นยานพาหนะที่สำคัญในสมัยนั้น.. .ด้านหน้าของเรือนใหญ่มักนิยมปลูกเชื่อมต่อเพิ่มอีกหลังเช่นกันเรียกว่า "พไลหน้า"มักปูพื้นด้วยไม้เนื้อแข็งและระดับพื้นต้องต่ำกว่าเรือนใหญ่ ไม่นิยมกั้นฝาด้วยคงมีความประสงค์ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก นิยมใช้เป็นสถานที่สำหรับรับแขกที่มาเยือน

ต่อจากพไลหน้านิยมต่อพื้นออกไปอีกแต่ต้องต่ำกว่าพไลหน้าเรียกว่า "นอกชาน" มักนิยมใช้ไม้ที่ทนแดดทนฝนปูเป็นพื้นเช่นตะเคียน เป็นต้น เพราะด้วยพื้นนอกชานไม่นิยมมุงหลังคา ตรงนอกชานบ้านนี้มักนิยมทำบันใดขึ้นลงเหมือนๆกันแทบทุกบ้าน

ด้านข้างเรือนใหญ่และพไลหน้ามักนิยมยกเป็นครัวอีกหลังจะมีนอกชานยื่น ออกไปและมีบันใดลงอีกทางคล้ายๆกับเรือนใหญ่ ตรงนี้จะใช้เป็นที่เตรียมอาหารสดและมักจะทำที่ปัสสาวะในตอนกลางคืน โดยทำรางให้ของเสียไหลลงตามรางไม้ไผ่ไปรวมกันในภาชนะที่กักเก็บด้านล่าง ลงจากบันใดครัวไปไม่ไกลนักมักทำที่ปลดทุกข์ไว้ โดยขุดหลุมให้ลึกพอควรหรือในพื้นที่หากมีคูหรือลำรางเล็กๆจะใช้ไม้เนื้อ แข้งสองอันพาดไว้ เว้นช่องตรงกลางพอที่จะให้ของเสียผ่านไปได้ ส่วนมาก นิยมทำใต้ต้นไม้ใหญ่ๆเพื่ออาศัยร่มเงาโดยที่จะเอาทางมะพร้าวมากั้นเป็น ทำฉากกำบังอีกชั้นหนึ่ง

พ่อกับแม่จะนอนเรือนใหญ่ซึ่งน้อยครั้งที่ผมจะย่างกายเข้าไป ด้วยต้องผ่าน ห้องกลางที่เก็บกระถางธูปและรูปถ่ายของบรรพบุรุษดังกล่าว ประกอบกับห้องกลางไม่มีหน้าต่างจึงทำให้บรรยากาศดูมืดสลัวๆ ใต้หลังคาในห้องไม่ได้ตีฝ้าเหมือนปัจจุบัน ทำให้เห็นโครงสร้างเช่นขื่อ แปรได้อย่างชัดเจน มีลำแสงแดดที่ส่องลอดรอยกระเบื้องแตกลงมาเป็นทางยาวจึงทำให้ บรรยากาศแลน่ากลัวมากขึ้น ก๋งจะนอนอยู่ที่พไลหน้าที่แวดล้อมไปด้วยพระบูชา ตำรายาต่างๆ เครื่องยาจำนวนมาก ส่วนย่าจะนอนในครัวคงเห็นว่าน่าจะสะดวกในการหูงหาอาหาร ทุกๆคืนผมจะนอนกับย่าและก๋งสลับกันไปไม่แน่นอน

"ก๋ง...คนตายแล้วไปไหน...???"ผมเอ่ยถามในค่ำคืนข้างแรมที่มืดสนิท

ก๋งมามองผมด้วยสายตาที่อ่อนโยน....หยิบตะเกียงมันมันก๊าดมาเป่า อย่างแรงจนตะเกียงดวงน้อยดับสนิท ความมืดเข้ามาแทนที่ ผมคลานเข้ามุ้งนอนอย่างงง....???

"มืดมั๊ย....???.....ฯลฯ"เสียงก๋งเอ่ยขึ้นท่ามกลางค่ำคืนที่มืดสนิท

เสียงสวดพระอภิธรรมดังแว่วๆมาจากบนบ้าน พระใกล้สวดจบแล้วผมกำลังสาละวนอยู่กับน้ำชาและกาแฟเพื่อนำมาให้คนที่มาช่วยเตรียมงานฯ ท่ามกลางความอาลัยอาวรกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของย่ารอดของ ผม

"ดูก่อนอานนท์ บุคคลย่อพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นธรรมดา ในโลกนี้หรือโลกไหนๆก็ตาม ไม่มีอะไรยั่งยืนถาวร สิ่งทั้งหลาย มีการเกิดก็ย่อมมีการดับเป็นธรรมดา เป็นที่สุดไม่มีอะไรยับยั้งต้านทานได้"เสียงก๋งอ่านพุทธโอวาสให้ผมฟังก่อน เข้านอนในค่ำคืนก่อนที่ย่าจะจากไป

ไม้ไผ่ ทางระกำ หวายป่า กระดาษหลากสีและอุปกรณ์อื่นๆอีกมากมายถูกจัดหามาเพื่อสร้างร้านม้า (รูปทรงคล้ายๆปราสาท มีคานไม้ไผ่หามด้านล่าง) อย่างรีบเร่ง น้าเทิงช่างใหญ่ยืนบัญชางานอยู่กลางลานดินหน้าบ้าน ไม้ไผ่ถูกนำมาตัดตามขนาดและความยาวที่ต้องการผูกติดกันด้วยหวายป่า ที่ละชั้นๆตามลำดับจนโครงสร้างเสร็จเรียบร้อย

"งานย่ารอด...ต้องทำห้าช้น" 

งานฉลุกระดาษสีเพื่อมาประกอบกับแผงไม้ระกำและ หลังคาคลุมโลงศพก็ดำเนินการคู่ขนานไปกับงานโครงสร้างอย่างรีบเร่ง เพื่อให้ทันประดับในวันรุ่งขึ้น

เช้าวันต่อมาศพย่าถูกย้ายจากเรือนใหญ่ลงมาที่ร้านม้าบริเวณลานหน้าบ้าน แผงไม้ระกำที่ประดับด้วกระดาษหลากสี ฉลุเป็นเรื่องราวในวรรณคดีไทยถูกนำขึ้นไปประดับรอบๆร้านม้าที่ละชิ้นๆ จนครบ พวงภู่ระย้า...ฉัตรสามชั้น หลังคา ผ้าม่านค่อยๆถูกนำมาประดับจนครบ หลอดไฟ หลอดนีออนเท่าที่พอหาได้ในสมัยนี้ถูกนำมาติดตั้ง รูปของย่าถูกนำมาวางไว้หน้าศพ...

"ไปเอารูปก๋งมาด้วย.....ตั้งคู่กันนะ...???" ก๋งบอก

"คนเราเมื่อใช้ชีวิตคู่กันแล้ว...ยามเจ็บยามป่วยต้องดูแล...ยามเมื่อสิ้นอายุขัย..ก๋งอยากทำหน้าที่ให้สมบูณ์...ไปส่งที่เมรุแล้วก็รับกลับมาบ้านพร้อมๆกัน" ก๋งบอก

เสียงสวดพระอภิธรรมในคืนนี้เงียบไปแล้ว เหล่าแม่ครัวกำลังเก็บล้างถ้วยชามและเตรียมหุงหาอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้ อยู่ในครัว วงหมากรุกสามสี่วงที่ประลองยุทธกันอย่างขมีขมันส่งเสียงประชันกับ วงรำสวดที่หน้าศพ(รำสวดเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่นิยมเล่นเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพ)ในบทชาละวันกุมภีฯที่มีท่วงทำนองและท่งทีท่ารำที่อ่อนช้อยยิ่งนัก เสียงเด็กๆรุ่นผมออกเสียงลุ้นน้ำเต้า ปู ปลาคละเคล้ากับเอ็ดอึงของวงไฮโลดังแววมาจากหลังที่ตั้งศพ ผมรู้สึกอ่อนเพลียเพราะไม่ได้ผักผ่อนมาเป็นเวลานาน ด้วยย่าป่วยกระเสาะ กระแสะมาแรมเดือน จึงเดินขึ้นเรือนใหญ่กะว่าจะนอนเพื่อเอาแรงซักหน่อย พลันสายตาผมได้เหลือบไปเห็นดวงตาที่แววสุกเปร่งคู่หนึ่งในความมืด จ้องมองผมอยู่อย่างไม่กระพริบตา มันเป็นดวงตาที่แฝงไปด้วยอำนาจอย่างน่าสะพรึงกลัว ผมขนหัวลุกชัน เสียวสันหลังวูบ..ออกเสียงตะโกนเรียกก๋งอย่างสุดแรง

"ก๋ง...!!!"

"นกเค้าแมว....มันคงเห็นแสงไฟเลยบินมาเกาะ....เดี๋ยวมันก็ไปเอง" ก๋งเอ่ย

ด้วยแววตาที่น่ากลัวผมไม่กล้าหันไปมองเจ้านกกลางคืนตัวนั้นอีก แต่ก็อดสังเกตและสงสัยอยู่ในใจ....ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมีมาเกาะแถวบ้าน แถมเชื่องอย่างผิดสังเกตอีกด้วย

พระสวดมนต์เช้าเรียบร้อยแล้ว....ผมกับก๋งเตรียมขวดน้ำ กระโถนและอื่นๆสำหรับให้พระฉันท์เพล พลันสายตาเหลือบไปเห็นเจ้านกเค้าแมวตัวเดิมเกาะอยู่บนขื่อบ้าน สายตาจดจ้องมายังผมตลอดเวลา....."ก๋ง"....เสียงผมตะโกนเรียก

มันมาหากิน เดี๋ยวมันก็ไปเอง....อย่าไปสนใจมันเลย..."ก๋งบอก

ตั้งแต่วันแรกที่พบเห็นนกเค้าแมวจนถึงวันที่จะย้ายศพไปฌาปนกิจ..เจ้านก กลางคืนตัวนี้ไม่ยอมไปไหน...บินวนเวียนอยู่แต่ในตัวบ้าน แถมยังเชื่องมากๆไล่ก็ไม่ไป สร้างความแปลกใจให้กับผู้คนที่มาร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง

ผมเดินคลุมร่มให้พ่อที่ถือกระถางธูปและรูปถ่ายกลับจากป่าช้าหลัง ฌาปณกิจศพย่าเรียบร้อยแล้ว

"พาย่ากลับบ้าน.น๊ะ..ระหว่างทางห้ามพูดกับใครเด็ดขาด...ห้ามหันหลัง... ข้ามน้ำข้ามสะพานให้บอกย่าด้วย....ถึงบ้านแล้วให้เชิญขึ้นบ้าน..เอากระธางธูปไป ไว้ที่ห้องกลางนะ" ก๋งกำชับ

พ่อค่อยๆว่างกระถางธูปย่าบนที่ตั้งในห้องกลางของเรือนใหญ่..หันมามอง ผมด้วยใบหน้าที่อิดโรยและดวงตาที่เศร้าหมอง

"กระธางธูปสามใบแรกเองเกิดไม่ทัน...ของปู่ย่าตายายทั้งนั้น..ใบที่สี่ของ ย่าเอง..จำไว้นะ"...พ่อเอ่ย

ในความมืดของห้องกลาง...ควันธูปลอยคละคลุ้งไปทั่ว แสงตะวันยามบ่ายเล็ดรอดส่องเป็นทางยาวเข้ามาในห้อง ตั้งแต่เกิดมาจนจำความได้ ผมเคยเห็น กระถางธูปสามใบมาโดยตลอด บัดนี้ กระถางธูปที่เพิ่มขึ้นมากับการสูญเสียย่าที่ผมผมรักไป คงไม่มีวจีใดที่จะร้อยรัดเพื่อสื่อให้เข้าใจถึงความรู้สึกได้.....แต่คำพูดและกิริยาของก๋งในค่ำคืนก่อนนั่นยังก้องกังวานว่า

"มืดมั๊ย......???......คนตายแล้วก็เหมือนตะเกียงดับ ทุกอย่างจะมืดสนิทด้วยชีวิตมีความพลัดพรากเป็นที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ได้ การดับสลายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน คงเหลือเพียงจิตที่มีความผูกพัน คนเราที่เพิ่งตายใหม่ๆ..ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว ก็ยังคงวนเวียนมาหาคนที่รัก คนที่ผูกพัน เช่น ในงานศพเรามักจะพบเห็นผู้ตายมาหาคนที่เค้ารักในร่างของผีเสื้อ กลางคืนตัว ใหญ่ๆ นกฮูก นกเค้าแมว มักจะบินมาเกาะในบริเวณบ้าน จนเมื่อปลงศพเสร็จก็จะหายไปเอง....เรื่องแบบนี้ยากที่ก๋งจะบอกให้เข้าใจ"

เสียงก๋งเอ่ยขึ้นท่ามกลางคืนข้างแรมที่มืดสนิท........